Search

การกระทำที่มีกฎหมายยกเว้นความผิด (การป้องกัน)
  • Share this:

การกระทำที่มีกฎหมายยกเว้นความผิด (การป้องกัน)

กฎหมายที่ยกเว้นความผิดมีหลายกรณีด้วยกัน คือ 1. ป้องกัน 2.ยินยอม (ในที่นี่ขออธิบายการป้องกันเท่านั้น)
1.การกระทำโดยป้องกัน
การกระทำโดยป้องกันนั้น บัญญัติไว้ในมาตรา 68 มีหลักเกณฑ์อยู่ 4 ข้อ ดังนี้
1)มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
2)ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง
3)ผู้กระทำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นจากอันตรายนั้น
4)การกระทำโดยป้องกันสิทธินั้นจะต้องไม่เกินขอบเขต
1)มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
ภยันตราย หมายความถึง ภัยที่เป้นความเสียหายต่อสิทธิต่างๆของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สินหรืออื่นๆก็ดี
ตัวอย่าง ภยันตรายต่อเสรีภาพ หนึ่งขังสองไว้ในห้อง เป็นต้น
ภยันตรายต่อชื่อเสียง เช่น หนึ่งหมิ่นประมาทสองหรือดูหมิ่นสองซึ่ง หรือเป็นชู้กับภริยาสอง สองจะทำการป้องกันสิทธิในชื่อเสียงของสองได้ด้วยวิธีใด ขณะนั้นหนึ่งกำลังหมิ่นประมาทสองหรือกำลังดูหมิ่นซึ่งหน้าสอง ถ้าสองตบปากหนึ่งนี่คือการใช้สิทธิป้องกันวิธีหนึ่ง ถ้าไม่ตบก็ไม่หยุด เพราะฉะนั้นการตบปากจริงๆ แล้วก็คือการป้องกันนั่นเอง เป็นต้น
เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย หมายความว่า ผู้
ก่อภยันตรายนั้น ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำได้ หากมีอำนาจที่จะทำได้ชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับภยันตรายก็ไม่มีสิทธิที่จะป้องกัน
ตัวอย่าง กรณีผู้ก่อภยันตรายไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำได้ เช่น กรณีมิใช่เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าราษฎรย่อมไม่ มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจับกุมผู้กระทำความผิด ดังนั้นการที่ราษฎรจะเข้าจับกุมจำเลย ภายหลังเกิดเหตุจำเลยทำร้ายผู้อื่นไปแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันเพื่อให้พ้นจากการที่จะต้องถูกจับกุมจากราษฎรได้
กรณีที่ผู้ก่อภยันตรายมีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ เช่น หนึ่งใช้ปืนยิงในหมู่บ้านโดยใช่เหตุอันเป็นการกระทำความผิดกฎหมายตำรวจจะจับหนึ่ง อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย หนึ่งวิ่งหนีตำรวจไล่ตามจับกุม โดยตำรวจเพียงแต่ใช้ปืนยิง มิใช่ยิงโดยเจตนาฆ่า ดังนั้นการที่หนึ่งยิงตำรวจ หนึ่งจึงอ้างป้องกันมิได้ เหตุผลเพราะว่าการการที่ตำรวจจับหนึ่งนั้นตำรวจมีอำนาจตามกฎหมาย
การละเมิดกฎหมาย การละเมิดกฎหมายอาญานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ผู้ที่จะรับภยันตรายนั้นกระทำการโต้ตอบกลับมาโดยอ้างการป้องกันได้ การละเมิดกำหมายอาญานั้น อาจจะเป็นการละเมิดกฎหมายอาญาโดยประมาทก็ได้
การละเมิดกฎหมายแพ่ง ก็ถือว่าเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้าย
อันละเมิดต่อกฎหมายได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 3789/2479 สามีฆ่าภริยาและชายชู้มาร่วมประเวณีกับภริยาของชายอื่นก็เป็นการละเมิดสิทธิในทางของสามี มีข้อสังเกตว่ามีคำพิพากษาฎีกาอีกฎีกาหนึ่งก็คือคำพิพากษาฎีกาที่ 249/2515 วินิจฉัยว่าถ้ามิใช่ภริยาชอบด้วยกฎหมาย ถ้ากำลังร่วมประเวณีกัน แล้วฝ่ายชายซึ่งเป็นสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเห็นเหตุการณ์ ฝ่ายชายยิงไปอย่างนี้จะอ้างป้องกันไม่ได้ ต้องบันดาลโทสะ ทั้งนี้เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในทางแพ่งของชายผู้เป็นสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ที่อ้างบันดาลโทสะได้ก็เพราะถือว่าเป็นการข่มเหง ชายผู้เป็นสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยเห็น ผู้ตายกำลังชำเราภริยาจำเลยในห้องนอน แม้ภริยาจำเลยจะไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ก็อยู่กินกันมา 15 ปี เกิดบุตรด้วยกัน 6 คน จำเลยย่อมมีความรักและหวงแหน การที่จำเลยใช้มีดพับเล็กที่หามาได้ในทันทีทันใดแทงผู้ตาย 2 ที่ถือว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ เหตุที่อ้างป้องกันไม่ได้ ก็เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย การกระทำอย่างนี้ของชายชู้และภริยานั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมทิดสิทธิในทางแพ่งของสามี แต่ถือว่าเป็นก่ารข่มเหงชายผู้เป็นสามีที่ไม่ชอบด้วยนกฎหมายอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เราก็ได้หลักจากคำพิพากษาฎีกา
การประทุษร้ายอันละเมิดต้อกฎหมายต้องเป็นการกระทำของบุคคล สัตว์หรือสิ่งของย่อมไม่อาจกระทำการอันเป็นละเมิดต่อกฎหมายได้ อย่างไรก็ตาม บุคคลอาจจะต้องรับผิดในการกระทำของสัตว์เช่น พิพากษาฎีกาที่ 3435/2527 ช้างเป็นสัตว์ใหญ่เมื่อกำลังตกมันย่อมเป็นสัตว์ดุ จำเลยไม่ดูแลโดยใกล้ชิดเพียงแต่ใช้เชือกผูกไว้ ถือว่าจำเลยกระทำโดยประมาท การที่ช้างจำเลยใช้งาแทง ผู้เสียยิงช้างของจำเลย ผู้เสียหายก็อ้างป้องกัน ผู้ที่จะอ้างป้องกันได้นั้น จะต้องถูกกระทำฝ่ายเดียว จึงได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิของตน
ผู้ที่มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายมีดังต่อนี้ไปนี้
. ผู้ที่ก่อภัยขึ้น ในตอนแรก
. ผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน
. ผู้ที่ก่อภัยขึ้นในตอนแรก ผู้ก่อภัยในตอนแรกไม่มีสิทธิกระทำการโต้ตอบกลับไปโยอ้าง
ป้องกัน ฎีกาที่ 2154/2519 จำเลยกับพวกก่อเหตุชกต้อยผู้เสียหาแล้ววิ่งหนี ผู้เสียหายไล่ตามต่อเนื่องไปไม่ขาดตอน จำเลยยิงผู้เสียหายดังนี้จำเลยจะอ้างป้องกันไม่ได้ เพราะจำเลยเป็นผู้ก่อภัยขึ้นก่อน
ผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน การวิวาทหมายถึง การสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกัน (คำพิพากษาฎีกาที่ 1961/2528) ด้วยเหตุนั้น ถ้ายฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำแก่อีกฝ่ายหนึ่งจะกระทำการโต้ตอบกลับไปโดยอ้างป้องกันมิได้ เพราะตนมีส่วนผิดในการสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กันเสียแล้ว
ข้อสังเกต ในกรณีที่สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กันนั้น เมื่ออ้างป้องกันไม่ได้แล้วเมื่อพลาดไปถูกบุคคลที่ 3 ก็ย่อมป้องกันต่อบุคคลที่ 3 ไม่ได้เช่นกัน คำพิพากษาฎีกาที่ 222/2513
ประเด็นต่อไป การสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กันนั้น ถ้าปรากฏขาดตอนไปแล้วผู้ที่รับภยันตรายก็มีสิทธิป้องกัน คำพิพากษาฎีกาที่ 2520/2529 จำเลยกับผู้ตายทะเลาะวิวาทกัน จนชกต่อยกอดปล้ำกัน จำเลยไม่มีอาวุธ เมื่อมีคนห้าม จำเลยก็หยุดวิวาทกับผู้ตาย ผู้ตายวิ่งไปหยิบไม้มา จำเลยวิ่งหนีขึ้นไปบนกุฏิของพระแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะวิวาทกับผู้ตายอีกแล้ว เพราะฉะนั้นการที่ผู้ตายถือไม้ไล่ตีจำเลยขึ้นไปบนกุฏิพระ ไม่เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกับการวิวาทครั้งแรกแต่ถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นใหม่ที่จะทำร้ายจำเลย จำเลยมีสิทธิกระทำเพื่อป้องกันตนเองได้ การที่ผู้ตายถือไม้ไล่ตีจำเลยขึ้นไปบนกุฏิพระ ไม่เป็นการกระทำที่ต้อเนื่องกับการวิวาทครั้งแรก ถือได้ว่าผู้ตายก่อเหตุขึ้นใหม่ที่จะทำร้ายจำเลย
ประเด็นต่อไป อธิบายหลักข้อ 2 ภยันตรายนั้นใกล้จะถึง
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๘๒/๒๕๔๔ วินิจฉัยว่า หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงก็ย่อมไม่อาจกระทำเพื่อป้องกันได้ ประเด็นก็คือ ภยันตรายที่ใกล้จะถึงจะต้องหมายความว้า ผู้ก่อภยันตรายนั้นกระทำการถึงขั้นที่เป็นความผิดแล้วหรือยัง เช่น แดงต้องการฆ่าดำ ถ้าแดงเล็งปืนไปที่ดำแล้ว ความผิดของแดงต่อดำคือ ๒๘๘, ๘๐ อย่างนี้แน่นอนเป็นภยันตรายที่เกิดจากากรประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เพราะการกระทำของแดงต่อดำ ถึงขั้นที่เป็นความผิดแล้วถ้าแดงเล็งปืนไปที่ดำแล้วดำยิงโต้ตอบกลับมา ดำอ้างป้องกันได้แน่นอน
คำพิพากษาที่ ๒๒๘๕/๒๕๒๘
เพราะฉะนั้น เพียงแต่ผู้ก่อภัยชักปืนออกมาจากเอว แม้ว่าการกระทำของผู้ก่อภัยนั้นจะอยู่ในขั้นตระเตรียมฆ่า ผู้รับภยันตรายกระทำการโต้ตอบ กลับมาก็อ้างป้องกันได้
กล่าวโดยสรุปก็คือ ถ้าภัยนั้นถึงแล้ว เป็นการละเมิดกฎหมาย เพราะผู้ก่อภัยไม่มีอำนาจที่จะทำได้ ด้วยเหตุนี้ หากภัยนั้นใกล้จะถึง ผู้รับภัยก็ป้องกันได้ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๘๓/๒๕๔๔ ถ้าเพียงแต่เห็นว่าผู้ก่อภัยทำกิริยาคล้ายกับจะชักอาวุธออกมาทำร้าย ยังไม่ถือว่าภยันตรายใกล้จะถึง เพราะฉะนั้นฎีกาสองเรื่องต่างกัน ทำท่าจะชัก ชักออกมาแล้ว
ประเด็นต่อไปก็คือ ช่วงระยะเวลาในการใช้สิทธิป้องกัน การใช้สิทธิป้องกันเริ่มตั้งแต่ภยันตรายนั้นสิ้นสุดลง ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดำ แดงชักปืนออกมาทำท่าจะยิงดำเพียงแต่ชักออกมาเท่านั้นจากบรรทัดฐานของ ฎีกาที ได้กล่าวมาเมื่อซักครู้แม้แดงจะยังไม่ทันได้เล็งปืนจ้องจะยิงดำ ดำก็เริ่มใช้สิทธิในการป้องกันชีวิตของตนเองได้แล้วและสามารถใช้สิทธิป้องกันนี้ได้ ตลอดไปจนกว่าการที่แดงยิงดำจะสิ้นสุดลง
คำพิพากษาฎีกาที ๔๕๕/๒๕๓๗ วินิจฉัยว่า ถ้าการที่แดงยิงดำสิ้นสุดลง เช่น ปืนหลุดจากมือแดงไปแล้ว ดำก็หมดสิทธิในการป้องกัน เว้นแต่แดงมีกิริยาว่ากำลังหยิบเอาปืนที่หลุดมือไปแล้วนั้นขึ้นมายิงดำอีก เพราะภยันตรายรอบใหม่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ในกรณีลักทรัพย์ คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๙/๒๕๔๑ ศาลฎีกาตัดสินว่าการที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เอาสร้อยคอของจำเลยไปเพื่อติดตามเอาสร้อยคอคืนในทันทีทั้นใดเป็นการป้องกัน กล่าวคือมิได้พาทรัพย์นั้นหนีอีกต่อไป สิทธิในการป้องกันก็หมดไป
ผู้รับภยันตรายจำเป็นจะต้องหลบหนีภยันตรายหรือไม่ ผู้รับภัยไม่จำเป็นต้องหลบหนี อย่างไรก็ตาม ผู้รับภัยควรจะอยู่เฉยๆ ไม่ควรออกไปโต้ตอบ หากออกไปพบกับผู้ก่อภัยพกอาวุธปืนติดตัวไปด้วย อาจจะกลายเป็นว่า ไปสมัครใจเข้าวิวาทกับผู้ก่อภัยจะทำให้หมดสิทธิในการอ้างป้องกันไป เรื่องการป้องกันภยันตรายไว้ล่วงหน้า คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๒๓/๒๕๑๙
๓. ผู้กระทำจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือผู้อื่นให้พ้นภยันตรายนั้น
เพื่อป้องกันสิทธิ หมายถึงมูลเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษแต่เป็นมูลเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษประเภทยกเว้นความผิด ดังนั้นถ้าทำไปเพื่อแก้แค้นอ้างป้องกันไม่ได้ จะอ้างป้องกันได้ต้องกระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิ
เพื่อป้องกันสิทธิคือเจตนาพิเศษเราจึงได้หลักว่า จะอ้างป้องกันได้
. เจตนาธรรมดา ประสงค์ต่อผล หรือ เล็งเห็นผล หรือ เจตนาโดยพลาด
. ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาพิเศษ “เพื่อป้องกันสิทธิ” ขาดอันใดอันหนึ่งไปจะอ้างป้องกันไม่ได้
ตัวอย่าง แดงกำลังจะยิงดำ แต่ดำไม่รู้ตัว ขณะนั้น ดำกำลังหยิบปืนขึ้นมาเช็ดถู
ทำความสะอาด ดำไม่ระมัดระวังให้ดี ปืนลั่นออกมา กระสุนไปถูกแดงตาย ถามว่าอย่างนี้ดำอ้างป้องกันได้หรือไม่ ไม่ได้ เพราะการกระทำของดำต่อแดงเป็นการกระทำโดยประมาท ดำจึงอ้างว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันไม่ได้ เพราะจะอ้างป้องกันได้ผู้กระทำจะต้องกระทำโดยมีเจตนา
. คือการกระทำโดยป้องกันสิทธินั้นจะต้องไม่เกินขอบเขต
คำว่า “ไม่เกินขอบเขต” เหตุที่ไม่ใช้คำว่า “ไม่เกินสมควรแก่เหตุ” ทั้งนี้เพราะว่า
มาตรา ๖๙ มิใช้ ๒ กรณี คือ เกินสมควรแก่เหตุ กรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่งคือ เกินกว่ากรณีจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปใช้คำว่า เกินสมควรแก่เหตุก็ยังไม่ครบถ้วน
ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จะต้องประกอบไปด้วยหลัก ๒ ประการ คือ
. ผู้ป้องกันได้กระทาการปอ้งกันสิทธิของตนเองหรนือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายด้วยวิถีทางน้อยที่สุด
. ผู้ป้องกันได้กระทาการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายด้วย วิถีทางน้อยที่สุด
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๗๓/๒๕๒๑ ข้อเท็จจริงมีว่า แดงใช้ไม้จะทำร้ายดำ ดำใช้ปืนยิงแดง ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ถือได้ว่าเกินสัดส่วน เกินสมควรแก่เหตุ ถ้าผู้ก่อภัยใช้ปืนจะยิง ผู้จะถูกยิงใช้ปืนยิงโต้ตอบกลับไปก็ถือว่าได้สัดส่วน บางกรณีแม้ภยันตรายจะเกิดจากมีด การที่ผู้ป้องกันใช้ปืนยิงไปก็ถือว่าได้สัดส่วน
เรื่องความยินยอม มีอยู่ ๒ ประเภทด้วยกัน ก็คือ
. ความยินยอมที่ทำให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด โดยถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอกไปเลย
ตัวอย่าง ความผิดฐานลักทรัพย์ โกงเจ้าหนี้ ยักยอก ทำให้เสียทรัพย์ หรือบุรุก
ความผิดต่าง ๆ เหล่านี้ถ้าผู้เสียหายยินยอม ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิดนั้น การกระทำไม่เป็นความผิด ไม่ผิดเพราะขาดองค์ประกอบภายนอก
เรื่องการกระทำด้วยความจำเป็น อันเป็นเหตุยกเว้นโทษ จำเป็นมี ๒ กรณี คือ จำเป็นตาม ๖๗(๑) จำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับ และ ๖๗(๒) จำเป็นเพื่อให้พ้นภยันตราย
อนุมาตรา ๑ มีการบังคับให้กระทากรที่เป็นความผิดจากภายนอก ผู้ถูกบังคับไม่ได้คิดริเริ่มกระทำการนั้นด้วยตนเอง ตัวอย่างแดงขู่ว่าจะยิงดำ ถ้าดำไม่ใช้ไม้ตีหัวขาว ขาเป็นเพื่อนรักของดำดำกลัวตายจึงใช้ไม้ตีขาวหัวแตก ดำกระทำความผิดต่อขาวฐานทำร้ายร่างกาย แต่อ้างจำเป็นตามมาตรา ๖๗(๑) เพื่อยกเว้นโทษได้
จำเป็นตามมาตรา ๖๗(๒) นั้นไม้มีการบังคับให้กระทำ แต่มีภยันตรายนั้นโดยกระทำความผิดด้วยความคิดริเริ่มของตนเอง ตัวอย่าง แดงวิ่งไล่ทำร้ายดำ ดำวิ่งหนี โดยตัดสินใจวิ่งเข้าไปในบ้านของขาว ดำมีความผิดฐานบุกรุกบ้านขาวแต่อ้างจำเป็นตามมาตรา ๖๗(๒) เพื่อยกเว้นโทษได้ ไม่มีใครบังคับให้ดำบุกรุกบ้านของขาวแต่ดำบุกรุกบ้านของขาวโดยความคิดริเริ่มของดำเอง อย่างนี้เป็น ๖๗ (๒)
มาตรา ๖๗(๑) ก็คือจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับ มีหลักเกณฑ์อยู่ ๔ ข้อ
ข้อ ๑. อยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจ
ข้อ ๒. ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
ข้อ ๓. ผู้กระทำจะต้องไม่ได้ก่อเหตุการณ์นั้นขึ้นด้วยความผิดของตน
อธิบายข้อ ๑. อยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจ หมายความว่า มีการบังคับให้กระทำหรือไม้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดจากภายนอก ซึ่งการกระทำหรือไม่กระทำนั้นเป็นความผิด
มาตรา ๖๙ ให้ใช้กับเรื่องจำเป็นด้วย

เกินสมควรแก่เหตุ คือ เกินวิถีทางน้อยที่สุด หรือเกินสัดส่วน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง
เกินวิถีทางน้อยที่สุดก็คือเกินขั้นต่ำที่จำต้องกระทำ ก็มีหลักอย่างเดียวกับกรณีของเรื่องป้องกัน แต่ว่าในเรื่องสัดส่วน สัดส่วนของการกระทำโดยจำเป็นตามมาตรา ๖๗(๑) จะใช้หลักอย่างเดียวกับเรื่องป้องกันไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่า จำเป็นนั้นเป็นการกระทำต่อบุคคลที่สาม บุคคลที่สามเขาไม่มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายนั้นเพราะฉะนั้น ในกรณีต่อไปนี้ ต้องถือว่าเป็นากรจำเป็นเกินสัดส่วน และผลก็คือ เกินสมควรแก่เหตุ


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts